เทศน์บนศาลา

เบื้องหลังกิเลส

๑๓ ต.ค. ๒๕๔๓

 

เบื้องหลังกิเลส
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ปวารณาเป็นวันที่พระสงฆ์เขาปวารณากันไง ปวารณากันว่าใครทำผิด ใครทำผิด ใครทำบกพร่องให้ติเตียนกัน “ให้ติเตียนกัน” ถือเป็นขุมทรัพย์อันพิเศษ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ทรงธรรมไว้ทั้งหมด ชี้ไว้เพื่อเป็นธรรมนะ

สิ่งที่เป็นธรรม การชี้จุดบกพร่องของแต่ละบุคคลให้บุคคลแก้ไข เป็นขุมทรัพย์นะ นี่วันมหาปวารณา จนพระเขาปวารณาต่อสงฆ์ให้สงฆ์ติเตียน ให้สงฆ์ช่วยกันแก้ไขความบกพร่องของแต่ละบุคคลขึ้นไป เพราะสงฆ์เชื่อกันในหมู่สงฆ์ไงว่าในหมู่สงฆ์นั้น กิเลสของเรานี่เราหาไม่เจอหรอก

แต่ถ้าเราหากิเลสของเราไม่เจอ ครูบาอาจารย์ช่วยชี้นำ เพราะความลงใจ ความเชื่อในครูบาอาจารย์ ถ้าความเชื่อความลงใจอันนั้น ความยอมรับ มันจะมองเห็นกิเลสของตัวเราขึ้นมาบ้าง

กิเลสของเรามองไม่เห็น

“กิเลส” เบื้องหน้าก็กิเลส เบื้องหลังก็กิเลส

ความว่า “เป็นเบื้องหน้าก็กิเลส เบื้องหลังก็กิเลส” เพราะหัวใจ

“เบื้องหลังของใจ” กิเลสล้วนๆ เลยล่ะ อย่างเช่นทางโลกเรา เขาว่าเราเป็นชาวพุทธ เราก็พูดกันอยู่ว่าถ้าการบอกความผิดพลาดเป็นการชี้ขุมทรัพย์ให้กัน แต่ในเมื่อมีการทุจริตคอร์รัปชั่น ลองไปบอกเข้าไปชี้เข้า คนๆ นั้นอยู่ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะอันนั้นหน้าก็กิเลส หลังก็กิเลส

ความเป็นกิเลส ความชี้ความจริงก็จริงอยู่ แต่ถึงว่าความที่ความจริง ความกลั่นแกล้งกัน ความอะไรกันมันก็มีอยู่ในนั้น เห็นไหม ความกลั่นแกล้ง ความไม่เห็นจริง นี่กิเลสอยู่ในหัวใจแล้วมันมีการปลิ้นปล้อนหลอกลวงไปในใจนั้น ใจนั้นก็ทำไปโดยที่มีความกระทบกระเทือนกัน นั่นน่ะ เพราะกิเลสเป็นเบื้องหน้าก็กิเลส เบื้องหลังก็กิเลส แต่ถ้าเบื้องหน้ากิเลส คนเกิดมานี้มีกิเลสทุกคนนะ กิเลสพาเกิด กิเลสนี้อยู่ในหัวใจทั้งหมด แต่พยายามทำของเราจนถึงธรรมนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมไปก่อน ครูบาอาจารย์เราผู้ที่ก้าวเดินตามทันไป ตามทันไป ความลงใจของเราในครูบาอาจารย์นั้นชี้ให้เราเห็นว่าเบื้องหน้าเป็นกิเลสไง ทั้งๆ ที่เราไม่เห็นเบื้องหน้าและเบื้องหลังของใจ ใจของเรา เราไม่เคยเห็นเบื้องหน้าเบื้องหลังของใจเลย ว่าสรรพสิ่งนี้เป็นเรา เป็นเรา เราก็ว่าเป็นเราไปทั้งหมดเลย

พอเราเป็นเรา เราคิดเราไป แม้แต่คนติ คนชี้จุดบกพร่องของเรา มันก็ขัดข้องใจนะ มันแปลกใจว่า “มันไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้” ความคิดของเรา สิ่งนี้เพราะเราไม่เห็นกิเลสของเราเลย เราไม่เคยเห็นกิเลสของเรา เราว่าเป็นเราไปทั้งหมด เป็นเราไปทั้งหมด เบื้องหน้ากิเลสล้วนๆ เลย เบื้องหลังก็เป็นกิเลส เพราะว่ามันเป็นกิเลสต่อข้างหน้าแล้วมันจะเอาธรรมมาจากไหน

แต่ถ้าเบื้องหน้าเป็นกิเลส แล้วเราพยายาม อย่างเช่น เราพยายาม เราตั้งใจ เราเป็นชาวพุทธ เราเชื่อในพระพุทธศาสนา เชื่อในธรรมอันนั้นไง “ธรรมอันนั้น” ธรรมนี้เป็นกลางอยู่ สิ่งที่เป็นอันนั้นเพราะใครก็สามารถเข้าถึงธรรมอันนั้นได้ ถ้าเข้าถึงธรรมอันนั้นได้ เบื้องหน้ากิเลส เบื้องหลังต้องเป็นธรรม แต่ความต่อสู้กับที่ว่าจะให้เห็นกิเลสของเรา นี่มันต้องเริ่มทำกันไปก่อน เริ่มทำด้วยความมุมานะ ด้วยความตั้งใจของเรา ด้วยความตั้งใจ...ให้เห็นโทษไง

ถ้าเราไม่เห็นโทษ เราเชื่อ เราฟังไป มันเป็นการเชื่อชั่วครั้งชั่วคราว แต่ความเห็นโทษของเรา ถ้าเราเห็นโทษ เราจะสลัดออกมาได้ อย่างเช่นคฤหัสถ์ฟังธรรมมา ปฏิบัติธรรมมา พอถึงว่าสละออกบวช ความสละออกบวชเพราะเห็นโทษของคฤหัสถ์ เพราะโทษของคฤหัสถ์นั้นมันเป็นการที่ว่าเวลาก็น้อย ทำความเพียรไปมันเป็นไปได้ยาก เพราะอะไร เพราะสิ่งที่รองรับไง ศีล สมาธิ ปัญญา

ถ้าเป็นคฤหัสถ์ “ทาน ศีล ภาวนา” มีทาน มีศีล มีภาวนา เพราะว่าการให้ทานมันเป็นการชักใจเข้ามาให้ถึงศาสนา ต้องมีทานก่อน แต่ในเมื่อผู้ปฏิบัติแล้ว...ทานมาจากไหน ทานก็ให้ธรรมเป็นทาน ถ้ามีธรรมในหัวใจ ให้ธรรมเป็นทาน แต่นี้ในหัวใจยังไม่มีธรรม

แต่เวลาการประพฤติปฏิบัติ “ศีล สมาธิ ปัญญา” ต้องมีศีล มีสมาธิ ปัญญา ศีลนี้เป็นที่รองรับไง รองรับคือว่ามันไปรองรับให้หัวใจนี้มีพื้นฐานที่จะก้าวล่วงออกไปได้ แต่ถ้าไม่มีพื้นฐาน บารมีธรรม ธรรมที่เราสะสมกัน บารมีธรรมคือทำความดี อย่างเช่นให้ทานนี้ก็เป็นการสะสมบารมีธรรม

“การให้” โลกนี้มีการชมเชย สิ่งที่เขาได้รับประโยชน์จากเรา อันนั้นก็เป็นบุญกุศลขึ้นมา เป็นพื้นฐานเข้ามา พอเป็นพื้นฐานเข้ามา อันนั้นมันเป็นอามิส สิ่งที่เป็นอามิสนี้อยู่นอกจากใจไป อย่างเช่น ทำบุญกุศล พอเราทำบุญกุศล อยากทำมากๆ การแข่งกันอันนั้นก็เป็นกิเลสอันหนึ่ง แต่กิเลส...บุญและบาป กุศลและอกุศล ถ้ามันมีการแข่งขัน มันเป็นอะไรไป อันนั้นก็เป็นกิเลสอันหนึ่ง นี่เกิดด้วยกิเลส กิเลสอยู่ข้างหน้าเรายังไม่เห็นเพราะเรามองไม่เห็นกิเลสเลย เราเป็นฝ่ายคิด เราคิดว่าเป็นไปหมด เราถึงไม่เห็นกิเลส

พอบวชมาแล้ว ออกบวชก็เหมือนกัน บวชมานึกว่าจากกิเลสแล้วจะเป็นธรรม

“ฉัพพัคคีย์” ได้ยินไหมในพระไตรปิฎก ฉัพพัคคีย์เป็นนักบวชนะ เป็นนักบวชในศาสนานี้ พระพุทธเจ้าบัญญัติวินัยอย่างไรก็มีใช้ปัญญามาก เบี่ยงเบนออกไป หาทางออกไป เบี่ยงเบนออกไป ฉัพพัคคีย์นี้เป็นต้นบัญญัติแล้วเป็นผู้ที่ว่าอนุบัญญัติ เพราะพระพุทธเจ้าบัญญัติแล้วจะมีทางออก ทางเบี่ยงเบนออกไปหมด ฉัพพัคคีย์เป็นนักบวช

ผู้ที่เห็นภัย เห็นภัยว่าสิ่งที่ว่าเห็นภัยทางโลกแล้วเอามาบวชในพุทธศาสนาเพื่อจะประพฤติปฏิบัติจะเข้าให้ถึงธรรม นั้นถึงว่าเริ่มต้นก็เป็นกิเลส ลับหลังก็เป็นกิเลส เบื้องหน้า-เบื้องหลังเป็นกิเลสทั้งหมดเลย ไม่มีเบื้องหน้าเป็นกิเลส แล้วเบื้องหลังเป็นธรรม

ปัญญาอันนั้น...เราว่าเรามีปัญญา ปัญญาของเรามันกิเลสพาใช้ มันไม่ปัญญาเข้าไปไล่ต้อนกิเลสนี่ ไล่ต้อนกิเลสจนกิเลสหยุดนิ่งขึ้นมา ความที่กิเลสหยุดนิ่งขึ้นมา เราถึงจะเข้าไปการต่อสู้กับธรรม ปัญญาที่เราจะไปแก้ไขกิเลส ปัญญาเท่านั้นเป็นที่ชำระกิเลสได้ ความหยุดอยู่ของใจมันเป็นความหยุดอยู่เฉยๆ ความหยุดอยู่ของใจเพื่อจะเริ่มต้นเพื่อจะเข้าไปชำระกิเลสที่อยู่ในใจเรานั้น สิ่งนี้เรายังทำได้ลำบากเพราะว่าเราโดนสิ่งนี้ปกคลุมหุ้มห่อไปทั้งหมด

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกประพฤติปฏิบัติ ๖ ปี ต้องพยายาม สิ่งที่ว่าอยู่ใน ๖ ปีนั้นน่ะ กิเลสปกคลุมใจอยู่ กิเลสนะ เพราะว่าความสงบ ความทำสมาบัติได้ ไปเรียนอาฬารดาบสมา ความสงบของใจ เห็นไหม ทำความสงบมาขนาดไหน กิเลสมันก็สงบตัวลงไปขนาดนั้น สงบตัวละเอียดเข้าไป ถึงว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้ยืนยันในธรรมข้อหนึ่งว่าต้องทำให้จิตนี้หยุดให้ได้ก่อน

“น้ำใสจะเห็นตัวปลา” จิตสงบขนาดไหน มันใสขนาดไหน กิเลสมันอยู่ในใจนั้น มันจะละเอียดอ่อนยิ่งกว่านั้น เพราะกิเลส เบื้องหน้า-เบื้องหลัง เบื้องหน้ากิเลสทำให้เราฟุ้งซ่าน เราต้องพยายามทำจับเข้ามา พยายามไล่ต้อนจิตของเราเข้าไปหาความสงบให้ได้ แล้วเบื้องหลังของกิเลส เห็นไหม กิเลสนี้แหลมคมมาก ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังหลอกหัวใจนี้ให้ลุ่มหลง หลอกหัวใจนี้ให้ปั่นป่วนไปในอำนาจของอวิชชานั้น อำนาจของตัณหาอุปาทานที่มันต้องการ นี่มันแหลมคมจนเราไม่สามารถรู้เรื่องของเราเองได้เลย แล้วเราไม่เคยเห็นความสงบอันนั้นเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขนาดว่าทำได้ขนาดนั้นก็ไม่ไว้ใจ ความที่ไม่ไว้ใจ ความไม่ไว้ใจเพราะอะไร เพราะเทียบเคียงเข้ามาที่ใจของตัว

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนโดยการก้าวเดิน

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนด้วยการประพฤติปฏิบัติ

“ตนเท่านั้น” เพราะใจดวงนั้นเท่านั้น เพราะใจดวงปฏิสนธิจิตเกิดมาเป็นมนุษย์

จิตที่มีอวิชชาอยู่ในหัวใจปฏิสนธิขึ้นมาพร้อมกับเจ้าอำนาจ เจ้าอำนาจที่ควบคุมความคิดออกมาทั้งหมด มันควบคุมอยู่ในอำนาจของมัน ความคิดของเราถึงต้องอยู่ใต้อำนาจของอวิชชาดวงนั้น นี้พออยู่ใต้อำนาจแล้วเราคิดอย่างไรมันออกไปล่ะ?

ความคิดออกไป เห็นไหม เราไม่สามารถสงบเข้ามา นี้คือกิเลสเบื้องหน้า กิเลสเบื้องหน้าทำให้เราฟูไป เราคิด คิดได้ชั่วครั้งชั่วคราว คิดว่าเราจะทำคุณงามความดี “คิดว่าเรา” เห็นไหม ความคิดนี้ตั้งอยู่แป๊บเดียว แล้วทำได้แค่ไฟไหม้ฟางแล้วก็เสื่อมถอยไป เสื่อมถอยไป นี่ความไม่จริง ความไม่จริงจะเข้าไปต่อกรกับกิเลสที่เป็นความจริง กิเลสที่เป็นความจริงนะ ความจริงในหัวใจปฏิสนธินั้นเพราะพาเกิดพาตายมาตามวัฏวนใน ๓ โลกธาตุนี้ เวียนตายเวียนเกิดมาตลอดพร้อมกับกิเลสกับใจดวงนั้น เห็นไหม มันจริงในส่วนที่ว่ามันเกาะใจไป มันเกาะหัวใจ มันอยู่กับใจนั้น มันถึงเป็นความจริง มันเป็นความจริงจริงๆ

แต่ที่ว่าในการที่เราจะชำระให้มันสงบตัวลงเพื่อเราจะเข้าไปหยุดนิ่ง หยุดนิ่งเพื่อจะเข้าไปดูกิเลสลับหลังไง ความแหลมคมของมันปลิ้นปล้อนหลอกลวงเราขนาดนั้น หลอกลวงเรานะ หลอกลวงข้างนอกนี้ หลอกลวงที่ว่าเล่ห์เหลี่ยมของโลกเขา การหลอกลวงเขาต้มตุ๋นกันนั้น มันเป็นการหลอกลวงขนาดนั้น มันก็ยังว่าคนก็ยังเชื่อไป เห็นไหม เชื่อไปเพราะว่ามันแนบเนียนขนาดนั้น แนบเนียนจนบางคนต้องยอมเชื่อตามไป นี้ในหัวใจของเรา ถ้ามันหลอกลวงเราล่ะ มันหลอกลวงเรา เราไม่รู้สึกตัวเลย คิดอย่างใดก็ไปอย่างมัน คิดขนาดไหนไปตามความคิดนั้นหมด

ทำไมไม่ยับยั้งตัวนี้บ้าง ทำไมไม่ดูกิเลสของเราบ้าง

ถ้าเราดูกิเลสของเรา กิเลสเบื้องหน้า ถ้ามีการต่อกรกัน การต่อกรกันด้วยอำนาจของธรรมที่เราเชื่ออยู่ ถ้าเราเชื่อ การบำเพ็ญไง การบำเพ็ญประพฤติปฏิบัตินี้ การประพฤติปฏิบัติ เวลามามาทั้งกายกับใจ แต่จริงๆ แล้วคือการดำรงการต่อสู้กับหัวใจเท่านั้น ร่างกายนี้เราพานั่ง ความตั้งใจ ศรัทธาว่าเราอยากประพฤติปฏิบัติ เรานั่งลงนี่ก็เรียบร้อย เรานั่งแล้ว ร่างกายนี้อยู่ในอำนาจที่ว่าเราสั่งได้ แต่หัวใจทำไมมันไม่อยู่อำนาจที่เราจะสั่งได้ล่ะ? นี่พญามารมันอยู่ตรงนั้น พญามารมันต่อต้าน

เราเคยสงบสักครั้ง สองครั้งไหม? ถ้าเรามีความสงบสักครั้ง สองครั้ง มันจะได้เป็นที่ยืนยันกับใจ เป็นการยืนยันกับใจเราว่าสิ่งนี้เราสัมผัสได้ สิ่งนี้เราจับต้องได้ แล้วเราจับต้องได้ ควรขยายให้มันมีอำนาจมากขึ้น ความที่มีอำนาจมากขึ้น จิตมันสงบเข้าไปบ่อยๆ เข้า ถ้าจิตมันสงบเข้าไปบ่อยๆ เข้า เห็นไหม กิเลสเบื้องหน้ามันเห็นว่ามีข้าศึกแล้ว ธรรมเท่านั้นเป็นข้าศึกที่เข้าไปชำระกับสิ่งที่ว่าเป็นความจริงในใจนั้น

มันจริงส่วนหนึ่ง จริงขณะที่มันเป็นอวิชชา มันเป็นพญามารอยู่ในหัวใจ แต่มันทำลายออกไปได้เพราะธรรมะจริงเหนือกว่า สิ่งที่เป็นความจริงเหนือกว่าทำลายกันเข้าไป สิ่งที่เป็นความจริงเหนือกว่า เห็นไหม การพาเกิดพาตายมันวนเวียน มันเป็นความจริงแน่นอนอยู่แล้ว แน่นอนเพราะเราเกิดเราตาย มันประสบซึ่งๆ หน้า มันเป็นสิ่งที่เราประสบ มันเป็นภพเป็นชาติที่เราเกิดขึ้นมาแล้ว

แต่ธรรมที่เอามาชำระแก้ไข สิ่งที่ชำระแก้ไข เห็นไหม ถึงว่าวันมหาปวารณา ปวารณาต่อคณะสงฆ์ ปวารณาต่อครูบาอาจารย์ให้ชี้บอกสิ่งนี้ด้วย...เราไม่รู้ เราเหมือนกับคนเหม่อลอย คนสู้ข้าศึกด้วยความพลั้งเผลอไง ขึ้นเวทีชกมวยนะ เป็นข้าศึกต่อกัน ไม่ปิดป้องหน้า ไม่ยกแขนขึ้นบังตัวเลย เอาหน้าลอยเข้าไปให้เขาต่อยเอาต่อยเอานะ แต่ตัวเองไม่รู้ตัวว่าสิ่งนั้นนึกว่าได้คะแนน นึกว่าเป็นความพอใจ นี่มันเหม่อลอยไง ความเหม่อลอย ความตั้งใจมันเหมือนไม่มีสติสัมปชัญญะ

สิ่งที่ไม่มีสติสัมปชัญญะอันนั้นหรือเป็นความเพียร สติสัมปชัญญะมีสติก่อน สติให้ระลึกรู้ ระลึกตน ระลึกตัวเราเองได้ พอตั้งสติขึ้นมาได้ ความตั้งสติขึ้นมาได้ พุทโธจะเกิดคำที่ ๑ ขึ้น ๒ ๓ ๔ ๕...คำบริกรรมจะสืบต่อไป คำบริกรรมสืบต่อได้นั้นคืออาหารของใจ

ใจนี้หิวโหย ใจนี้ถึงว่ากิเลสเบื้องหน้ามันหลอก หลอกด้วยการป้อนหัวใจนั้นให้เสวยอารมณ์ ให้ความคิดฟุ้งซ่านไป ให้อยู่ในอำนาจของมันไง มันป้อนมันหลอก ถึงเวลาเราเจ็บทุกข์ ปวดทุกข์ได้ยากจนถึงที่สุดมันก็ผ่อนคลาย เห็นไหม ผ่อนคลายให้เราสบายใจชั่วครั้งชั่วคราว มันผ่อนคลายนิดหน่อย ผ่อนคลายเพื่อล่อไง เพื่อเป็นความล่อลวงของกิเลสว่าไม่ให้เราหันหน้าไปหากิเลสเบื้องหน้า หันไปเห็นกิเลสเบื้องหน้าแล้วมันจะมีการต่อกรกันขึ้น มันจะเข้าไปหาตัวสิ่งที่ล่อลวงใจของเราออกมา นี่กิเลสเบื้องหน้า

เบื้องหน้า คือเบื้องหน้าเรานี่แหละ

เบื้องหน้าของเรา เรายังไม่สามารถเห็นได้แล้วเบื้องหลังเอาอะไรไปดูมัน?

ถ้าเบื้องหลัง เห็นไหม ความแหลมคมของเขา ความแหลมคมของสิ่งที่ว่าอยู่ในหัวใจมันขับไสออกมาขนาดนั้น ขับไสออกมาแล้วพร้อมกับขับเคลื่อนความทุกข์ไปพร้อมกัน ทุกข์นั้นอยู่ในหัวใจของเรา หัวใจนี้จะมีทุกข์ไปตลอด ทุกข์ไปตลอด มีแต่เคลือบนะ มีแต่ทุกข์นี้เคลือบด้วยน้ำผึ้ง เคลือบด้วยความหวาน

เมื่อนั้นไง ความจินตนาการของเรา ความคิดคาดหมายของเรา เราคาดหมายว่าจะทำสิ่งนั้น จะเป็นอย่างนั้น แม้แต่ปฏิบัติธรรมก็ยังคาดหมาย คาดหมายว่ามันจะเป็นอย่างที่เราคิด อย่างที่เราเป็น สิ่งนี้ เห็นไหม การคาดหมายนี่กิเลสมันหลอก หลอกเพราะอะไร เพราะการคาดการหมายมันไม่ใช่เป็นความจริง ความคาดความหมายมันเป็นอดีตอนาคต มันเป็นการจินตนาการ

สุตมยปัญญา การฟังมานี่สุตมยปัญญา การฟัง การศึกษาเล่าเรียนมา สุตมยปัญญา

แต่การฟังซึ่งๆ หน้านี้เป็นการฟังธรรม การฟังธรรมนี้ยังดีกว่าการศึกษาเล่าเรียนสุตมยปัญญานั้นมา ศึกษามาเพื่อจำเข้ามา พอจำเข้ามา มันมีอันนี้เป็นเชื้อ สุตมยปัญญาก็ขยายความที่ตัวเองศึกษามา ตัวเองศึกษามาก็คิดจินตนาการออกไป จินตมยปัญญาเกิดขึ้น

ภาวนามยปัญญาอยู่ที่ไหน?

“ภาวนามยปัญญา” ภาวนามยปัญญาเท่านั้นที่มันเป็นปัจจุบัน ไม่ใช่การคาดการหมาย ถ้าการคาดการหมายนี่ภาวนามยปัญญาจะไม่เกิด มันเป็นจินตนาการ มันเข้ากับจินตนาการ เป็นการคาดการหมาย การคาดการหมายก็คือการเดา การเดาแล้วกิเลสมันจะอยู่ที่การเดาได้เหรอ

การไม่เจอตัวกิเลส การที่ทำให้กิเลสเบื้องหน้าสงบตัวลงไม่ได้ กิเลสเบื้องหน้า ถ้ากิเลสเบื้องหน้าสงบตัวลงเท่านั้น สิ่งที่สงบตัวเข้ามา ถึงจะมีโอกาสได้ให้ปัญญาการขับเคลื่อนของภาวนามยปัญญานี้เกิดขึ้นไง ถ้าอย่างนี้ไม่มีความสงบตัวเข้ามา ภาวนามยปัญญาจะเกิดขึ้นไม่ได้ มันเป็นจินตมยปัญญา เป็นจินตนาการไปทั้งหมด เป็นจินตนาการก็เป็นการคาดการหมาย

การคาดการหมาย กับปัจจุบันธรรม กับกิเลส...ห่างไกลกันมากนะ ห่างไกลกันมาก ถ้าจะเอาความจริงมันต้อง เห็นไหม เหมือนกับครูบาอาจารย์ที่ชี้นำ มันจะรู้จริงว่ามันห่างไกลอย่างไร ห่างไกลเพราะมันไม่เป็นปัจจุบัน อดีตอนาคตกับปัจจุบันมันห่างกันไหม? ห่างกันมาก

พอห่างกันมาก มันก็ต้องไล่ต้อนเข้ามาเพื่อความละเอียดอ่อนเข้าไปหา ละเอียดอ่อนเข้า ความละเอียดอ่อน จากความห่างไกลให้มันสั้นเข้ามา สั้นเข้าไปหาอะไร หาพื้นฐานของใจ ไม่มีเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ให้เป็นปัจจุบัน เบื้องหน้าและเบื้องหลังนี้มันเป็นการคาดการหมายของกิเลสไปทั้งหมดเลย แล้วก็เอาความทุกข์ในหัวใจนี้ยืนยันได้

สิ่งที่เป็นความทุกข์เรายืนยันของเราได้ ความไม่พอใจ ความขัดข้องใจ แม้แต่การประพฤติปฏิบัติ การนั่งอยู่ การไม่สมความปรารถนานี้ก็ขัดข้องใจ ความขัดข้องใจนี้เป็นทุกข์-ไม่เป็นทุกข์มันบอกเอง มันคาดมันหมายออกไป

ต้องต่อสู้เข้ามา มีสติสัมปชัญญะเริ่มตั้งต้นขึ้นมา ตั้งต้นขึ้นมา

“ฟัง” ฟังเป็นธรรมที่ฟังอยู่ปัจจุบันนี้มันจะเข้ากับกิเลสในปัจจุบันนี้

“ฟังธรรมซึ่งหน้า” ในฟังนี่มันเป็นประโยชน์มากเพราะว่ามันไม่รู้ว่าจะออกมาตรงไหน มันจะเข้าถึงหัวใจของเราไหม หัวใจของเราคิดอะไรอยู่นี่มันเป็นปัจจุบัน มันไม่มีการคาดการหมาย นี่เห็นไหม เปรียบเหมือนกับภาวนามยปัญญา ธรรมที่ผุดขึ้นมาจากหัวใจ สิ่งที่คิดค้นขึ้นมาในใจของเรา ใจของเรามันคิดค้นขึ้นมา มันเปรียบเทียบไง ความเปรียบเทียบเข้าไปแล้วย้อนกลับเข้ามา มันอ๋อ! มันสะดุ้ง มันสะเทือนใจ ความสะดุ้งสะเทือนใจมันจะปล่อยวางได้ชั่วคราว ปล่อยวางได้ชั่วคราว ความปล่อยวางเพราะมันเห็นว่าอันนี้เป็นความผิด

แต่ถ้าเดิม การคาดการหมายเราก็วัตถุ เพราะเราคาดมันหมายแล้วสนุกด้วยนะ สนุกคาดสนุกหมาย คาดไปหมายไปมันเกิดการสืบต่อไง ปัญญามันมีรสชาติ ความคิดในรสชาติมันจะมีคุณค่ากับรสชาติ มันจะล่อให้ใจนี้กินดื่มอันนั้นออกไป จากเดิมที่ว่าเราเสวยอารมณ์ที่ว่าเป็นความฟุ้งซ่านอยู่ เวลาเริ่มภาวนาไป เริ่มภาวนาไป ความคิดอันนี้มันเกิดขึ้น มันก็เป็นรสชาติอีกอันหนึ่ง รสชาติอันนี้มันเป็นรสชาติของการคาดการหมาย การคาดการหมายหมุนเวียนไปเป็นสัญญาอารมณ์ หมุนไป หมุนไป

นี่กิเลสเบื้องหน้ามันก็ยังชักลากเราไปอยู่ ชักลากเราไปอยู่ เราต้องพยายามหมุนกลับมา หมุนกลับมา ความสงบเพราะว่าเราคาดไปจนสิ้นสุดของการทำงานของใจ ใจทำงานถึงสิ้นสุดแล้วมันจะหมดขบวนการการทำงานของมัน มันปล่อยวางชั่วคราวที่มันปล่อย มันปล่อยอย่างนั้น เห็นโทษของมัน

พอเห็นโทษของมันแล้วเริ่มต้นใหม่ ความเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นจนเข้าใจ เข้าใจว่ากิเลสซึ่งๆ หน้ามันขับไสให้เราเสียโอกาส เสียเวลามาขนาดนี้ เราต้องตั้งใจทำกิเลสซึ่งหน้าให้สงบตัวลงเข้าไปเพื่อจะยกขึ้นวิปัสสนา วิปัสสนากาย เวทนา จิต ธรรม อย่างเดิม

งานอย่างอื่น งานอย่างอื่นเป็นงานของโลกเขา เวลาเรานักบวชออกมาบวชเป็นพระนะ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่งาน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจนี้เป็นงานของผู้ประพฤติปฏิบัติ แม้แต่เราไม่ได้บวช เราเป็นผู้บำเพ็ญเพียร เราก็เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจเหมือนกัน เพราะว่ากายเหมือนกัน ใจเหมือนกัน

พิจารณาสิ่งนี้เข้าไป สิ่งนี้เป็นพื้นฐานที่เราจะมีการต่อสู้ แล้วเราเห็น เห็นอย่างใด?

สิ่งที่เห็นข้างนอก “กายนอก” กายนอกก่อนได้ พิจารณากายนอกได้ กายนอกพิจารณาเข้าไป เพราะจิตที่ว่ามันเป็นอวิชชาที่มันเป็นพญามารครอบคลุมจิตอยู่มันก็ติดตรงนี้ สิ่งนี้มันแผ่ขยายออกไป สิ่งที่แผ่ขยายออกไปแล้วอาศัยสิ่งนี้เป็นที่อยู่อาศัย สิ่งที่อยู่อาศัยแล้วออกไปหาเหยื่อข้างนอก

เวลาเราเดินตามพญามารไปความคิดของเราไป เราว่าเป็นคุณเป็นประโยชน์เป็นสิ่งที่เราพอใจไง มันเหมือนกับเบ็ดเกี่ยวเหยื่อไว้น่ะ มีความปรารถนาว่าจะเป็นความสุขไง แต่เหยื่อนั้นมันมีเหยื่อในเบ็ดนั้น ถ้าแสวงออกไป แสวงหาออกไปงับเหยื่อนั้น เบ็ดนั้นเกี่ยวไปพร้อมกัน...มันไม่คุ้มค่า มันไม่คุ้มค่ากับว่าเรากินเหยื่อนั้นแล้วเบ็ดเกี่ยวปาก เกี่ยวปากแล้วยิ่งสะบัดยิ่งติดยิ่งสะบัด ยิ่งติด เห็นปลาไหม ปลาสะบัดขนาดไหนมันก็ลึกขนาดนั้น แล้วขนาดว่าเขาตกปลากัน มันจะลากไปขนาดไหน ปลาในท้องทะเลลากไป ลากไปเถอะ ถึงที่สุดแล้วนะ มันลากเรือไปจนมันหมดแรงแล้วเขาก็ต้องเอามันมากินจนได้

อันนี้ก็เหมือนกัน ความคิดแต่ละโอกาส ความคิดแต่ละอารมณ์ของเรา คิดจินตนาการออกไปแล้วก็ดึงเราออกไป สุดท้ายแล้วนั่งคอตกทั้งนั้น คิดถึงสิ่งที่เป็นไปแล้วมันเสียโอกาสไง เห็นไหม มันถึงไม่เป็นธรรม มันถึงเป็นเหยื่อ เหยื่อนั้นเป็นอะไร นั่นน่ะ มารมันควบคุมอย่างนั้น ทีนี้ พิจารณากายนอกเข้ามาก็เพื่อเหตุนั้น

มองสิ เราเห็นคนเฒ่าคนแก่ เห็นคนชรา พ่อแม่เราผมขาวไปแล้วมันมีอะไรเข้ามาติดตัวบ้าง มันมีอะไรติดตัว เห็นไหม ทำไปเถิด ทำไป...อย่างนี้ถ้าพูดถึงกิเลสเบื้องหน้าและกิเลสเบื้องหลัง ก็ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เนรคุณ สิ่งนี้เป็นความคิดไม่สมประกอบ มันต้องเห็นผู้เฒ่าผู้แก่ด้วยความสลดสังเวชเป็นความสงสาร “สงสาร” พิจารณาด้วยโลกอย่างหนึ่ง

พิจารณาโดยธรรม ปลงธรรมสังเวชมันสะเทือนใจ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน พระกัสสปะยังปลงธรรมสังเวช

“แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต้องปรินิพพานไป”

ร่างกายของแต่ละบุคคลมันเหมือนกัน สิ่งที่เหมือนกัน เราต้องเป็นไปอย่างนั้น ความที่เราคิดมาเพื่อความสะเทือนใจนี่มันเป็นธรรม ถ้ากิเลสเบื้องหน้า-กิเลสเบื้องหลัง มันจะคอยทิ่มแทง ทิ่มแทงสิ่งที่เราจะเกิดเป็นประโยชน์กับเรา สิ่งที่เกิดเป็นประโยชน์กับเรามันจะให้เราสลดสังเวชแล้วมันมีการตื่นตัวไง การไม่นอนจมไง

ขณะนี้ใจมันนอนจมอยู่ในมูตรในคูถไง ในมูตรในคูถของอวิชชา ถ้าธรรมเปรียบเปรียบอย่างนั้นนะ แต่ถ้าเป็นเรา “มูตรคูถมาจากไหน มูตรคูถไม่เคยเห็น อันนี้เป็นความคิดของเรา เป็นสิ่งที่ว่าเราเกิดมาแล้วต้องใช้ประโยชน์จาก...” คิดว่าเป็นสุขไง คิดว่าเป็นสุข คิดว่าเป็นความพอใจ คิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ว่ามันเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดาของการเกิดมาแล้วต้องเสวยกามคุณไป คิดไปร้อยแปดเลย นั่นเป็นสิ่งที่ว่าเราไม่สะเทือนใจ

ถ้าเราสะเทือนใจสิ่งนั้น เราก็ย้อนกลับมาดูที่เรา พอย้อนกลับมาดูที่เรา แล้วเราจะหาทางพ้นได้นะ ไม่ใช่ว่าดูเห็นสิ่งนั้นว่าเขาต้องตกทุกข์ได้ยากไปเป็นที่ว่าเขาต้องไปตามกระแสของกรรม กรรมมีการกระทำเกิดขึ้น เพราะกิเลสเบื้องหน้าและเบื้องหลังมันทำแต่สิ่งนั้น สิ่งที่เป็นกรรมฝังลงที่ใจนั้น มันไม่มีทางจะเป็นไปได้ จะแก้กรรมไม่มีทางไหนแก้กรรมได้เลย

เว้นไว้แต่การประพฤติปฏิบัติ การบำเพ็ญความเพียรนี่แก้ไขกรรมได้ แค่จิตสงบแล้ววิปัสสนา แค่ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น เห็นไหม เวลามัชฌิมาปฏิปทาของภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้น มันสมุจเฉทปหานโดยขณะนั้น ขณะที่มันรวมตัวแล้วสมุจเฉทปหาน แล้วมันจะแก้ไขกรรมได้ทั้งหมด

แต่กรรมที่เราทำกันอยู่ เราแก้ไขกันไปด้วยความเป็นโลกๆ ของเรา เราคิดว่าเมื่อนั้นเรามีโอกาสแก้ไขไป ทำบุญกุศลไปเพื่อสร้างสมเป็นบุญกุศลไป

บุญกุศลเป็นบุญกุศล การชำระกิเลสเป็นการชำระกิเลส บุญกุศลนั้นเสริมมาเพื่อความคล่องตัวขึ้นมาเท่านั้น แต่ไม่มีทางเลยถ้าไม่ใช้ภาวนามยปัญญา ปัญญาเท่านั้นชำระกิเลส ไม่มีสิ่งใดเลยที่ชำระกิเลสได้ แม้แต่สัมมาสมาธิ สมาธิจะมีมากมายขนาดไหนก็กดไว้ถ่วงไว้เท่านั้น

การกดกิเลสไว้ เห็นไหม การกดต้องใช้อะไรกด ต้องใช้พลังงานกด พลังงานนั้นเสื่อมถอยได้ สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายมีการเกิดขึ้น ทรงอยู่ แล้วต้องสลายตัวไป แรงกดนั้นต้องเสื่อมถอยโดยธรรมชาติของมัน พอแรงกดเสื่อมถอยโดยธรรมชาติ เห็นไหม นั่นน่ะ กิเลสเบื้องหลังตีกลับ กิเลสเบื้องหน้านะ กิเลสเบื้องหลัง กิเลสเบื้องหลังตีกลับขึ้นมาไปใหญ่เลย สิ่งนั้นจะไปใหญ่เลย ไปใหญ่คือว่าไม่มีปัญญาเข้าไปต่อกร ไม่มีสิ่งใดจะยับยั้งความคิดที่มันจะฟุ้งซ่านออกไป

ความฟุ้งซ่านออกไปเรียกว่าจิตเสื่อมไง จิตของเราเวลาเสื่อม เวลาเราสร้างตนขึ้นมา เราสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมา มนุษย์ปุถุชนสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาแต่ละชีวิตๆ หนึ่ง จะประสบความสำเร็จขนาดไหน ร้อยคนพันคนใครประกอบสัมมาอาชีวะจะมีความร่ำรวยมาสักกี่คน การประกอบอาชีพขนาดนั้น แล้วพอประสบความสำเร็จขึ้นมาก็ต้องมีความพอใจ มีความอุ่นใจ อุ่นใจที่ว่าเรามีที่พึ่ง เรามีที่อาศัยจริง เราเป็นคนที่มีสมบัติพัสถาน เรามีอำนาจ...ว่าไปนั่น แต่เวลาสิ่งนั้นโดนทุจริตหรือโดนสิ่งใด หรือว่ามันเป็นไปโดยธรรมชาติที่ว่ามันต้องแปรสภาพไป...เสียใจไหม?

นี่เหมือนกัน เวลาจิตมันเสื่อมถอยออกมาที่ว่าเราไม่สามารถรักษาของเราไว้ เพราะความประมาทของเราไง คิดว่าสิ่งนั้นเป็นความจริงแล้วกดกิเลสไว้เฉยๆ พอถึงเวลามันเสื่อมลง นี่จิตเสื่อม จิตเสื่อมแล้วจนเราจะประพฤติปฏิบัติมันต้องใช้พลังงาน ๒ เท่า หมายถึงว่าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ เขาทำงานขึ้นไปได้ แต่เขาทำขึ้นไป พอทำขึ้นไปๆ เขาส่งเสริม พยายามส่งเสริมขึ้นไป มันถึงจุดหนึ่งได้ถ้าทำถึง ถ้าไม่ถึงนี้เป็นความยากลำบาก อันนี้มันเป็นธรรมชาติของกิเลสเบื้องหน้าที่มันต่อต้านไว้

แต่ผู้ที่เจริญเข้าไปแล้วเสื่อม เหมือนคนที่เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีแล้วหมดตัวไป จะทำอะไรนี่ไม่มีแก่ใจไง มันเหมือนกับเราต้องมาเริ่มต้นใหม่ ถึงว่าต้องเป็น ๒ เท่าของความเพียรนั้น ความเพียรที่จะเอาใจกลับมาใหม่ต้องเป็นความเพียร ๒ เท่า “ความเพียร ๒ เท่า” คือว่าต้องพยายามขึ้นไปเพราะกิเลสเบื้องหน้ามันจะรู้เล่ห์เหลี่ยม มันจะพยายามจะผลักไสให้เราขาอ่อน มันจะผลักไสให้เราไม่มีแก่ใจที่จะทำไง ความที่เราไม่มีแก่ใจที่จะทำ นี่กิเลสเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ความแหลมคมของมันทั้งนั้น ความแหลมคมของกิเลสอยู่ที่ไหน

คำว่า “กิเลส” นี่อย่าไปโทษนะ อย่าไปโทษว่าเป็นกิเลส คือว่าฟังแล้วมันยอกใจ

ต้องดูหน้ามัน ต้องดูหน้าให้เจอ เพราะมันอยู่ที่หัวใจของเราทั้งนั้น มันทำให้เราทุกข์อยู่นี่ทั้งนั้น เพียงแต่ว่ามันเป็นคำบุคลาธิษฐานที่ว่าเราจะเข้าไปหาตัวนั้นให้ได้

ถ้าหาตัวนั้นได้ เราจับต้องได้ “เราจับต้องได้” เราเท่านั้นจับต้อง ถ้าเราจับต้องได้มันเป็นงานขึ้นมา ถ้าไม่เป็นงาน การศึกษาเล่าเรียนมาจบแล้วก็ต้องแสวงหางาน ถ้ามีงานก็มีตำแหน่งมีหน้าที่การงานก็มีอาชีพไป นั้นเป็นอาชีพของเขา

แต่การชำระกิเลสก็ต้องมีงานของเรา งานของเราแต่ละบุคคลที่มีอำนาจวาสนา ถึงจะเข้าทำงานได้ มีอำนาจวาสนาถึงจะเข้าถึงพิจารณาเห็นกายจากตาของตาใน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจข้างนอกเราพิจารณาเข้ามาเพื่อความสลดสังเวช สลดสังเวชก็ตัดพญามารไง

“บ่วงของมาร” บ่วงของมารนี้ล่อหัวใจนี้ให้ออกไปติดบ่วงมันหมดเลย มันบ่วงของมารพุ่งออกไป พุ่งออกไป พุ่งออกไปเพราะเราไม่เคยเข้าใจว่ามันเป็นกิเลส เราเข้าใจว่าเรากังวล เราวิตก เราพยายามคิดถึงคนอื่น เราพยายามคิดถึงว่ามันเป็นคุณงามความดีไง มันเป็นการว่ามีน้ำใจไง มีน้ำใจก็ต่อเมื่อเวลาเป็นการเป็นงานเป็นน้ำใจ แสดงออกต่อเมื่อเป็นกาลเป็นเวลาเท่านั้น น้ำใจมันอยู่ในหัวใจของเรา จะแสดงออกเมื่อไรนั่นเป็นการแสดงออก

แต่นี้น้ำใจอะไร อันนี้มันเป็นความหลอก จะอยู่ปัจจุบันนี้ นั่งอยู่ปัจจุบันนี้คิดถึงคนนู้น คิดถึงคนนี้ ความเห็นอันนี้มันไม่ใช่น้ำใจ อันนี้มันอ้างเล่ห์ กิเลสเบื้องหน้าอ้างเล่ห์ว่าเรามีน้ำใจ เราจะคิดออกไปเพื่อประโยชน์ผู้อื่น เห็นไหม เราเป็นคนมีน้ำใจ มีน้ำใจมันแสดงออกทีหลัง

แต่ปัจจุบันนี้มันเป็นการแสดงออกกับกิเลสเพื่อต้องการให้กิเลสเบื้องหน้ามันถอยทัพออกไป กิเลสของเราต้องถอยทัพออกไป ถอยออกไปให้ใจของเรานี้เป็นอิสระขึ้นมา ใจของเราเป็นอิสระขึ้นมา ถ้าเป็นอิสระขึ้นมา อิสระขึ้นมา ค่อยๆ หมุนกลับ หมุนกลับเข้าไป หมุนกลับเข้าไป

ถึงได้...อำนาจวาสนาแต่ละบุคคล อำนาจวาสนานะ อำนาจวาสนาเป็นส่วนหนึ่ง อำนาจวาสนามันอยู่ในกำมือของเรา อำนาจวาสนานี้มาจากภูเขาเลากาเหรอ มาจากเทวดาองค์ไหนประทานให้...ไม่มีหรอก อำนาจวาสนาเกิดขึ้นจากการบำเพ็ญ

แล้วเรานั่งประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติบูชานี่เป็นสิ่งที่ยอดที่สุด สิ่งที่ประเสริฐที่สุดในศาสนาเรา เป็นผู้ที่นักรบไง นักรบออกรบกับกิเลสของตัว นักรบมีสักเท่าไร เห็นไหม กองพลที่เขารบ กองพลรบมีอยู่เท่าไร มีแต่ผู้ที่ส่งกำลัง มีแต่แผนกแผนที่ แผนกอะไรไปเรื่อยเฉื่อย

นี้ก็เหมือนกัน นักรบ เพราะพยายามบังคับตน พยายามบังคับหัวใจรบกับหัวใจ ชนะเราเท่านั้นประเสริฐ เห็นไหม ถึงว่าอตฺตา หิ อตฺตโน นาโถนั้นตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ๑ ตนต้องรบ ๑ แล้วเวลาเข้าเผชิญศึก ความคิดที่มันแลบออกมา นั่นน่ะ เผชิญกันต่อหน้านะ ใครจะหลอกไปข้างนอกให้เขาหลอก

แต่ขณะที่เราเข้าไป “จะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนั้น จิตมันจะแปรสภาพไปเป็นอย่างนั้น เป้นอย่างนั้น” พอเห็นกายขึ้นมาก็ฟู ฟูขึ้นมานะ พอใจนะหลุดมือไปอีก ตั้งขึ้นมาใหม่ พอตั้งขึ้นมาใหม่ไป เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เปลี่ยนแปลงในทางลบ

ถ้าเปลี่ยนแปลงในทางบวก ในทางบวก เราพยายามคิดขึ้นมา พยายามขึ้นมา ตั้งให้ได้แล้วหาวิธีการทำไง “สาวไปหาเหตุ” สิ่งที่เราเห็นกายของเรา สิ่งที่ปัญญามันหมุนออกไป มันเริ่มต้นจากเราตั้งอารมณ์อย่างไร เราทำอย่างไร ก่อนเราทำอย่างไร แล้วการเข้านี่เข้าอย่างไร นี่มันจะเห็นอย่างนั้น อันนี้มันเป็นแง่บวก

การผิดพลาดนี้มันต้องมีกันทุกคน ความผิดพลาดของการประพฤติปฏิบัติมันจะมีทั้งนั้น เพราะความผิดพลาด เพราะสิ่งที่เราต่อสู้อยู่นี้ เขาขับไสอยู่แล้ว เขาไม่ต้องการให้เราเป็นอิสระแน่นอน ถ้าเราต่อสู้เข้าไป ความต่อสู้ เห็นไหม คำว่า “ต่อสู้” มันมีส่วนหนึ่งที่เขาพยายามต่อต้านอยู่ แต่เราไม่รู้ สิ่งที่ไม่รู้ก็ให้ไม่รู้ไว้ก่อน ไปอยากรู้เกินไปมันก็เป็นการคาดการหมาย

สิ่งที่รู้ รู้คือรู้สติสัมปชัญญะ รู้แล้วตั้งตัวเข้าไป ตั้งตัวเข้าไป

ตั้งตัวแล้วพยายามหาวิธีการพลิกแพลง

ปัญญามันกว้างขวางมากนะ การทำสมาธิ คำบริกรรม กรรมฐาน ๔o ห้อง ๔o ห้องหมายถึงวิธีการ ตั้งแต่ว่าพุทโธ ธัมโม สังโฆ นี่ก็เป็นกรรมฐานส่วนหนึ่ง มันเป็นคำบริกรรม คำบริกรรมเข้าไปเฉยๆ...เรายังงง

แต่ถ้าเวลาปัญญามันเกิด ปัญญาภายในนะมันจะเกิด มันจะพลิกแพลงไปเรื่อย พลิกแพลง หมายถึงว่ามันเทียบมันเคียงไง สิ่งนั้นเป็นอย่างไรมันเทียบออกมา จะเทียบเป็นอะไรก็ได้ เทียบเอาจิตนี่ก็ได้ หรือเอาความเห็นเทียบกับต้นไม้ เทียบกับวัตถุ เทียบกับอะไร แล้วพิจารณาดูการแปรสภาพของมัน มันเทียบออกมาเพราะสิ่งนี้เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมเราจะจับต้องอย่างไร จับต้องแล้วก็เทียบออกมา เปรียบเทียบเป็นเทียนโดนไฟเผาอยู่ มันต้องละลายออกไป ความคิดของเรามันเป็นอย่างนั้นไหม เทียบเคียงเข้ามา นี้คือปัญญา

ปัญญาการเทียบเคียงไปเฉยๆ พอเทียบเคียงออกไปมันหมุนไปเรื่อย มันละเอียดอ่อนไปเรื่อย มันจับต้องกันไปเรื่อย มันหมุนไปๆ หมุนไปคือว่าความคิดนั้นจบขบวนการหนึ่งก็คิดใหม่ จบขบวนการหนึ่งบางทีเราต้องพักในสัมมาสมาธิ หมายถึงว่าทำงานบ่อยๆ เข้า พลังงานมันน้อยลง เราต้องกลับมาพักผ่อนของเราก่อน พักผ่อนของเราแล้วออกไปสู้ใหม่ ออกไปสู้ใหม่...มันจะรู้แง่รู้วิธีการเพราะเราทำ

ถ้าเราออกไปสู้ ออกไปสู้คือออกไปคิด ออกไปพิจารณา แล้วมันต่อสู้ไม่ได้ หรือมันไม่ผ่าน ไม่ผ่านหมายถึงว่ามันไม่ปล่อยอารมณ์ ถ้าเราพิจารณาไปแล้วนะ มันจะปล่อยว่าง ความว่างของคำบริกรรมเข้ามา มันจะมีความสงบเข้ามา แต่ความว่างของการใช้ปัญญาเทียบเคียงกับกายกับจิตแล้วความปล่อยมันต่างกัน นี่มันจะปล่อยเข้ามา สิ่งที่ปล่อยเข้ามา จิตนั้นก็รู้

จิตดวงที่เราพิจารณาอยู่ตรงที่ว่าโดนกิเลสข้างหน้ามันฟุ้งซ่านอยู่ หรือกิเลสข้างหน้ามันจะหลอกลวงขนาดไหน นี่สิ่งที่รู้ “สิ่งที่รู้” เห็นไหม อกาลิโก ไม่ใช่กาล ไม่ใช่เวลา แม้แต่ครั้งพุทธกาลก็รู้อย่างนี้ ปัจจุบันนี้ก็รู้อย่างนี้ รู้ที่อะไร? รู้ที่ใจ ใจถึงไม่มีกาล ไม่มีเวลาไง ๑o ปี ๑,๐๐๐ ปี...

(เทปขัดข้อง)

...ทันเวลาชำระกิเลส เห็นไหม จากกิเลสเบื้องหน้า ถ้ากิเลสเบื้องหลัง ชำระจนกิเลสเบื้องหลังเป็นธรรมขึ้นมา พอเป็นธรรมขึ้นมา สิ่งที่เป็นธรรมเข้ามามันไม่มีกาล ไม่มีเวลา พระพุทธเจ้าถึงว่าเป็นล้านๆ องค์นะ ในสัมพุทเธฯ บอกพระพุทธเจ้าเป็นล้านๆ องค์ สาวกออกไปเป็นล้านๆ องค์ เพราะจิตนี้มีมากมายมหาศาล ในวัฏวนนี้มีแต่จิตที่พร้อมที่จะเกิดนะ

ถึงว่า “การเกิดเป็นมนุษย์นี้ถึงประเสริฐไง”

การเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก เพราะจิตนี้จะเข้ามาเกิดอีกมหาศาล แต่มาไม่ได้เพราะมันมีโอกาสเท่านี้ โอกาสของกรรมที่ว่าเกิดเป็นมนุษย์นี้ประเสริฐที่สุด แล้วมนุษย์สมบัติเราปัจจุบันนี้ เราเอามาบำเพ็ญเพื่อเข้าถึงธรรมในหัวใจ ใจนี้สัมผัสธรรม ใจนี้โดนกิเลสขับไสมาตลอด กิเลสนี้พาเกิดพาตาย

สิ่งที่พาเกิดพาตาย...ไม่แปลก ชาติภพก็เป็นอย่างนี้ มนุษย์ชาติไหนก็เกิดตายแบบนี้ เครื่องอำนวยความสะดวกต่างกันนะ ต่างกันเล็กน้อย แต่ความเกิดความตาย ความทุกข์เศร้าหมองในหัวใจ ความตรอมตรมจนขับจนบีบคั้นจนน้ำตาไหล บีบคั้นจนไม่เป็นไป มันถึงว่าคำว่า “ไม่แปลก”

แต่เราว่าคนเกิดมาโดนกิเลสปิดบังไว้ กิเลสมันปิดบังไว้...มันแปลก มันอยากศึกษาค้นคว้าเรื่องของโลก มันอยากรู้ไปหมดในจักรวาล แต่มันไม่รู้จักตัวมันเอง เห็นไหม นักวิทยาศาสตร์ขนาดไหน ดอกเตอร์ขนาดไหน เขาก็ดอกเตอร์ของทางโลกเขา ถึงจะเป็นพุทธศาสน์ ศึกษาพุทธศาสน์ ดอกเตอร์ทางพุทธศาสน์ก็เป็นแค่สุตมยปัญญา เพราะเขาไม่สามารถเปิดตาของใจได้ เขาศึกษามาคือการศึกษาด้วยตำรับตำรา ศึกษาด้วยการจินตนาการ วิทยานิพนธ์ก็จินตนาการขึ้นมา เทียบเคียงจินตนาการแล้วบังคับด้วยนะ โลกน่ะ บังคับว่าต้องมีที่มา ต้องมีที่เป็นไป

แล้วกิเลสมันมีที่มาไหม?

กิเลสมันอยู่ที่ไหน?

ทำไมไม่เห็นตัวมัน เวลามันจะออกมามันออกมาจากทางไหน?

ความคิดของเราที่คิดออกไปพร้อมกับกิเลสทั้งหมด กิเลสมันควบคุม พญามาร-เจ้าวัฏจักรควบคุมหัวใจนั้นอยู่ ทั้งที่ว่าวิปัสสนาเข้ามา จะปล่อยวางเข้ามาขนาดไหนกิเลสมันก็คุม คุมมาตลอด คุมมาตลอด จนวิปัสสนาเข้ามา อารมณ์เข้ามา ปล่อยวางเข้ามา เห็นไหม ที่ว่าปล่อยวาง ปล่อยวางเข้ามาจนมันสมุจเฉทปหาน มันถึงจะเป็นธรรมขึ้นมา

สิ่งที่เป็นธรรมในหัวใจ ใจที่เป็นธรรมขึ้นมา สิ่งที่เป็นธรรมขึ้นมาส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งทุกข์อันละเอียด ทุกข์ขนาดกลาง ทุกข์อันละเอียด เห็นไหม ทุกข์อย่างกลางก็ทุกข์อย่างกามราคะ ทุกข์อย่างละเอียดก็ทุกข์แบบความไม่รู้ ความไม่รู้ในอารมณ์ของความว่าง นี่ทุกข์อย่างละเอียด นี่คือมาร คือกิเลสเบื้องหลังทั้งนั้นเลย กิเลสเบื้องหลังถึงแหลมคม

ทั้งๆ ที่เราเข้าใจ เราประพฤติปฏิบัติมา ปล่อยเข้าใจ พิจารณากายหรือพิจารณาจิตปล่อยวางเข้ามา เห็นไหม มีธรรมส่วนหนึ่ง มีธรรมส่วนหนึ่งมันก็หายใจได้ ถ้ามีธรรมส่วนหนึ่งในหัวใจนะ มันมีการยืนยัน มีธรรมเบื้องหลังบ้าง ใจดวงนั้นก็มีแก่ใจ ใจดวงนั้นสามารถพึ่งตนเองได้ ถ้าใจดวงนั้นสามารถพึ่งตนเองได้ ใจดวงนั้นสามารถก้าวเดินต่อไป

การก้าวเดินต่อไป...กับกิเลสเบื้องหลัง กิเลสเบื้องหลังจะอยู่ลึกเข้าไป ไม่ใช่ว่าเราชำระกิเลสเบื้องหน้าหมดแล้วกิเลสเบื้องหลังจะไม่มี กิเลสเบื้องหลังจะมีละเอียด ละเอียดอ่อนเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ความเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปมันก็หลอกตลอด เวลาพิจารณาเข้าไปมันจะไม่เห็นตัวมัน มันจะบอกว่าความว่างที่เราพิจารณาเข้ามาแล้วนั้นเป็นนิพพาน นี้เป็นที่สุดของธรรมไง นี่มันก็นอนจมอยู่นั่น ความนอนจมอยู่ของหัวใจ

เรานอนจมอยู่ข้างนอก เรานอนจมอยู่กับมูตรคูถ เรายังไม่ยอมรับว่าเรานอนจมอยู่มูตรคูถ แล้วในหัวใจที่มันมีธรรมอยู่ส่วนหนึ่ง ในสมาธินี้นอนจมอยู่ในสมาธิ นอนจมอยู่ในความว่างนั้น มันจะยอมรับความว่างอันนี้ว่าเป็นมูตรคูถได้อย่างไร มันจะไม่ยอมรับว่าสิ่งที่มันนอนจมนี้เป็นมูตรคูถเลย

ถึงว่า วันนี้วันมหาปวารณา แต่ครูบาอาจารย์ที่ผู้ผ่านไปถึงธรรมแล้วรู้ สิ่งนี้รู้เพราะอะไร รู้เพราะใจดวงนั้นได้สัมผัส ใจดวงนั้นได้เห็นธรรมจากภายใน ใจดวงนั้นเบื้องหลังเป็นธรรมทั้งหมด เห็นไหม “เบื้องหลังเป็นธรรมทั้งหมด”

อารมณ์เขาจะมาเกาะเบื้องหลังเกาะธรรมนั้นไม่ได้ เกาะใจดวงนั้นไม่ได้ สิ่งที่เกาะใจดวงนั้นไม่ได้ เหมือนกับน้ำที่ว่าเปรียบเหมือนกับน้ำบนใบบัว น้ำบนใบบัวกลอกกลิ้งอยู่บนใบบัว แต่ไม่ติดใบบัว สิ่งใดๆ ในโลกนี้จะไม่สามารถสัมผัสธรรมใจดวงนี้ได้เลย ใจที่เป็นธรรมจะไม่ติดกับอารมณ์โลกทั้งหมด จะไม่ติดกับความว่าง จะไม่ติดกับใดๆ คือว่ามันเป็นธรรมล้วนๆ ธรรมอันนั้นประเสริฐที่สุด

แต่ขณะที่ว่าเราติดอยู่ในความว่าง...ฟังสิ คำว่า “ติดอยู่ในความว่าง” มันก็ต้องติดอยู่ในความว่างใช่ไหม คำว่า “ติด” ติดนี้เป็นอะไร

กิเลสเบื้องหลังมันหลอก ความหลอกเราก็เชื่อ เราเชื่อเราก็รักษา ความรักษา เห็นไหม รักษาสิ่งที่ไม่จริง รักษาสมาธิไว้ สมาธิมันต้องเสื่อม รักษาความที่ว่าให้มันเสื่อมอยู่ในวัตถุนั้นให้เป็นความว่าง ของแค่เป็นความว่าง แม้แต่วัตถุอย่างหีบไหอะไรอย่างนี้เราเก็บไว้ มันจะมีความชื้นมีอะไรอยู่ข้างในได้ แล้วใจอยู่นี่ คำว่า “ติด” เพราะติดนี้มันต้องติดอยู่กับอาการความสุขอันนั้น

แล้วความสุขอันนั้นมันก็แปรสภาพตลอด สิ่งที่แปรสภาพมันแปรสภาพอยู่โดยธรรมชาติของมัน แต่เราพยายามรักษาไว้ รักษาเพราะคำว่า “ติด” ติดก็พยายามทรงไว้ ทรงไว้ก็ต้องกำหนดบริกรรม คือรักษาด้วยสติสัมปชัญญะ สิ่งที่รักษาไว้ทุกข์ไหม? ทุกข์ มันทุกข์แน่นอน พอทุกข์แน่นอน นี่กิเลสเบื้องหลัง กิเลสเบื้องหลังมันหลอก

ความแหลมคมของกิเลส เห็นไหม เราคิดว่าเราจะชำระล้างกิเลส เราว่าเราเป็นนักปราชญ์ เราเป็นคนที่มีปัญญา ปัญญาของข้านี่ใครจะมาหลอกลวงข้าได้ แต่ทำไมกิเลสในหัวใจมันหลอกลวงเราจนเราต้องยอมจำนนมันตลอด

“ความยอมจำนน” จำนนเพราะไม่ใช่ว่าจำนนเพราะอะไรนะ จำนนเพราะไม่รู้ จำนนเพราะความเข้าใจผิด ความเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นผลไง แล้วมันเป็นผลตรงไหน มันเป็นผลว่ามันแปรสภาพอยู่อย่างนั้น เราก็เสียเวลาไปอยู่ตรงนั้น

ถ้ามีครูบาอาจารย์เคาะ คำว่า “เคาะ” หมายถึงเตือนสติไง สิ่งนี้มันเป็น “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา” ความว่างอันนี้ที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา มันก็ว่างเพราะว่าเรารักษา เราสงวน เราต้องตั้งใจไว้ นี่มันย้อนกลับมา ย้อนกลับมาดูความว่างนั้น...อะไรอยู่ในความว่างนั้น? ถ้าเห็นอยู่ในความว่าง ความว่างที่มันติดอยู่นั้น สิ่งที่อยู่ในความว่างมันคืออะไร?

กิเลสมันอยู่ในนั้น กิเลสเบื้องหลังอยู่ที่นั่น แล้วกิเลสก็หลอกเราไป นี่พลิกแพลงอยู่ มันจะให้เราแสดงตัวให้เราจับได้ การที่เราจับอันนี้ได้ นั่นน่ะ เห็นกิเลสเบื้องหลัง พอเห็นกิเลสเบื้องหลัง พิจารณาเข้าไป ความพิจารณาเป็นการไตร่ตรอง เป็นการต่อสู้ การต่อสู้ที่กิเลสมันหลอกใช้เรา มันหลอกใช้มาทุกภพทุกชาติ หลอกใช้ให้อยู่ภพชาติไหนมันก็ให้เราเคลิบเคลิ้มไปกับภพชาตินั้น นี่ความหลอกของมัน ให้เราเพลิดเพลินอยู่กับในภพชาตินั้น ให้เราพอใจอยู่ในกับอารมณ์ที่เราพอใจ เราคิดสิ่งใดขึ้นมาเราก็พอใจอารมณ์สิ่งนั้น เราทำอะไรขึ้นมา เราว่าเราจะประสบความสำเร็จทั้งนั้นๆๆ เลย แต่ทำไปแล้วจะประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จนั้นมันอยู่ที่สิ่งที่ให้ค่ามาจะตรงกับสิ่งที่เรากระทำหรือไม่กระทำ นั่นน่ะ มันต้องเป็นไปโดยสิ่งที่ผลกระทบที่มันจะให้เป็นความเป็นจริงอันนั้น นั้นมันถึงไม่เป็นความจริงอย่างที่เราคาดหมาย

เพราะมันมีสิ่งที่กระทบอันนั้น สิ่งที่เราต้องคิดต้องไตร่ตรองไป แต่ย้อนกลับมาที่เราจะชำระกิเลส เราชำระกิเลส เราสร้างขึ้นมา สิ่งที่จะเกิดขึ้น เกิดขึ้นจากเราด้วยความวิริยะอุตสาหะ ถ้าเราไม่มีความจริงใจ เราไม่มีความจริงจัง เราต่อสู้ขนาดไหนมันไม่เป็นไป มันมีแต่ฝ่ายแพ้ไง มันมีฝ่ายแต่ยอมจำนนไง ความยอมจำนน นี่กิเลสเบื้องหลังมันหลอก

ความแหลมคมของกิเลส ความแหลมคมมันหลอกเราไง หลอกเราให้เราไม่มีเวลาก้าวเดิน หลอกเราให้เราไม่มีแก่ใจ ทั้งๆ ที่มันหลอกให้เราจำยอมอยู่ในความว่างอันนั้นแล้วนะ ความที่อยู่ในความว่างนั่นมันก็หลอกเราอยู่ชั้นหนึ่ง การวิปัสสนาคือการที่เราจับตัวมันได้ มันจะหลอกเราอยู่ตลอดเวลา การที่มันจะหลอกเราอยู่ตลอดเวลา มันต้องมีอำนาจเหนือเรา มันถึงหลอกเราได้ใช่ไหม มันจะหลอกเราเพราะมันมีอำนาจเหนือเรา

สิ่งที่อำนาจเหนือเราเพราะมันทำให้เราติดอยู่ในจิตปฏิสนธิ อยู่ในกิเลสอย่างละเอียดนั้น มันยังต้องสาวเข้าไปถึงกิเลสอย่างละเอียดอยู่ในหัวใจ กิเลสเบื้องหลังนั้น สาวเข้าไป สาวเข้าไป สาวเข้าไป มันจะสาวเข้าไปด้วยการที่เราทำของเราไป

มันเป็นไปถ้าพูดถึงใจคนที่เป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรมในเบื้องต้น

พระกัสสปะ เห็นไหม พระฉัพพัคคีย์มีกิเลสเบื้องหน้าแล้วก็ทำเป็นกิเลสเบื้องหลัง เพราะทำแต่สิ่งที่ว่าความพอใจ สิ่งที่ตัวเองสะดวกสบาย สิ่งที่กิเลสมันปั้นยอขึ้นมา เห็นไหม จะทำรองเท้าสวยๆ งามๆ จะทำกล่องด้ายกล่องเข็ม นี่มันสวมรอยขึ้นมา ความที่มันสวมรอยขึ้นมาก็ติดอยู่ในวัตถุนั้น เสียเวลาไปกับการแสวงหาสิ่งที่เป็นโลกๆ เห็นไหม กิเลสทั้งเบื้องหน้า กิเลสทั้งเบื้องหลัง

แต่พระกัสสปะตั้งแต่เริ่มมีครอบครัวโดยที่ว่าตัวเองมีกิเลสเบื้องหน้า แต่มีความเป็นธรรมอยู่ในหัวใจอยู่ในเบื้องหลัง ตั้งใจว่าถึงมีครอบครัว พ่อแม่ขอให้มี มีครอบครัวก็สัญญากันว่า “เราจะไม่อยู่ในโลกนี้แน่นอน ถ้าพ่อแม่เสียไปแล้วจะออกบวชทั้งคู่” เห็นไหม มีกิเลสเบื้องหน้าแต่มีความหัวใจที่เป็นธรรมอยู่เบื้องหลัง

แล้วเวลาออกประพฤติปฏิบัติ บวชแล้วแยกกันไป สามีไปทาง ภรรยาไปทาง พอไปแล้ว ผู้ที่บวชเป็นผู้เฒ่าถือธุดงควัตรไง ถือธุดงควัตรจนที่ว่าพระพุทธเจ้าตั้งให้เป็นเอตทัคคะในเรื่องการถือธุดงควัตร ถือธุดงควัตรตั้งแต่การประพฤติปฏิบัติมาเรื่อย

การถือธุดงควัตร มันถึงว่าเป็นข้อวัตรที่เราจะเข้าไปชำระกิเลส ธรรมเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ชำระเบื้องหลังด้วยเพราะอะไร เพราะมันถือธุดงค์เข้าไป มันเป็นการไม่สะดวกกับกิเลส กิเลสมันต้องการความคล่องตัวของมัน แต่ธุดงควัตรนี้เป็นกติกาเข้าไปเลย ว่าเราต้องทำตามข้อวัตรปฏิบัติอันนั้น

พิจารณาเข้าไปตลอดเวลา มันย้อนมาๆๆ จนถึงกับว่าถึงที่สุดแห่งธรรมนะ กิเลสเบื้องหลังตายหมดนะ แล้วขนาดว่ากิเลสเบื้องหลังตายไปหมดแล้ว ใจนี้เป็นธรรมล้วนๆ ก็ยังถือธุดงควัตรอยู่ไง จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าพระกัสสปะไง

“กัสสปะเอย เธอก็มีอายุปานเรา” อายุไล่ๆ กับพระพุทธเจ้า “แล้วประพฤติปฏิบัติจนถึงธรรมแล้ว ทำไมยังต้องถือธุดงควัตรอยู่”

“ถือธุดงควัตรอยู่นี้ ข้าพเจ้าถือไม่ใช่ว่าเพราะว่าถือเพื่อข้าพเจ้า...”

เพราะกิเลสไม่มีในหัวใจ เป็นธรรมล้วนๆ “แต่ถือนี้ไว้เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังไง”

ให้อนุชนรุ่นหลัง ให้นักบวชตั้งแต่อย่างพวกเราลูกศิษย์ตถาคต เป็นนักบวชเป็นพระให้ถือแบบอย่างนั้น ถือแบบอย่างว่ามีผู้ที่ถือแบบเป็นตัวอย่างอยู่ นี่เป็นการให้เห็นว่าผู้ที่เป็นธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นธรรม พระกัสสปะก็เป็นธรรม แล้วถือธุดงควัตรเพราะไม่มีกิเลสแล้วก็ยังถืออยู่มาเพื่อเป็นมรดกตกทอดมาให้กับภิกษุเราไง ตกทอดมาให้ผู้ที่ก้าวเดินไง

ถ้าใจเราเป็นธรรม เราต้องวางให้เป็นธรรมขึ้นมาเพื่อจะเข้าหาชำระกิเลสเบื้องหลังให้ได้ เราต้องตั้งใจของเราให้เป็นจริง “ความจริง” เห็นไหม ขนาดกิเลสเรามีในหัวใจ เรายังประพฤติปฏิบัติไม่ได้อย่างพระกัสสปะ ท่านไม่มีกิเลสแล้ว แล้วพอไม่มีกิเลสแล้วการถือธุดงควัตรเราก็ติเตียนกัน

ถ้า “ใจ” นะ ใจเรามีกิเลสอยู่ เราติเตียนว่ามันเป็นความลำบาก มันเป็นความคิดว่า “มันเป็นความยุ่งยาก มันไม่สะดวกสบาย” มันคิดออกไป เห็นไหม นี่กิเลสติเตียน กิเลสหลอกลวง กิเลสทำให้เราไม่มีกำลังใจ กิเลสไม่ให้เราก้าวเดินไปในความวิริยะอุตสาหะนั้น

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขนาดพระกัสสปะทำเพื่ออนุชนรุ่นหลัง…เห็นด้วยนะ จนว่าเป็นพระองค์เดียวที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานแลกผ้าสังฆาฏิ เก็บผ้ามาไง ผ้าบังสุกุล ปะสังฆาฯ ปะหนาถึง ๗ ชั้น ความหนาถึง ๗ ชั้นมันจะหนักขนาดไหน แล้วพระอายุ ๘o ขึ้นไปแล้วยังห่มซ้อนอยู่อย่างนั้น มันจะหนักขนาดไหน จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแลกผ้าให้ ถึงว่าเป็นการประเพณีมาไง ว่ามอบบาตรมอบผ้ากันมา เป็นประเพณีที่ว่าพระพุทธเจ้ายอมรับ

สิ่งที่พระพุทธเจ้ายอมรับ ยอมรับในข้อวัตรปฏิบัติ ยอมรับในหัวใจของพระกัสสปะ สิ่งที่แลกนี้เป็นการเชิดชูเกียรติไง เกียรติของพระกัสสปะที่ว่าทำเป็นตัวอย่างมา เป็นคุณงามความดี ใจที่เป็นธรรมส่งเสริมสิ่งที่เป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรมให้พวกเราอ้างอิงเป็นตัวอย่าง อ้างอิงเพื่อจะเดินตาม เห็นไหม สิ่งที่เป็นธรรม

แล้วกิเลสมันดูตรงไหน มันดูแต่เปลือกไง แลกกันไปแลกกันมา เห็นไหม แลกกันไปก็อยากจะได้ของครูบาอาจารย์มาเป็นสิ่งที่ว่าเป็นกำลังใจ...เป็นกำลังใจเฉยๆ ไงแต่ไม่ดูที่ข้อวัตรดูที่ปฏิบัติ ไม่ได้ดูที่ความเป็นไปตรงนั้น ถ้าเราดูที่ตรงนั้น

“ใจที่เป็นธรรม” มันจะคิดสิ่งที่เป็นธรรมขึ้นมาให้หัวใจมีหลักมีเกณฑ์

“ใจที่เป็นกิเลส” กิเลสเบื้องหน้าและกิเลสเบื้องหลัง ถ้ากิเลสเบื้องหลังมันเป็นกิเลส มันยิ่งล่อลวงเรานะ ให้เราเข้าไปในพงหนาม เข้าไปในป่ารกชัฏ สิ่งที่ควรจะก้าวเดินไปด้วยความราบรื่น ธุดงควัตรขององค์พระกัสสปะนี้ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ มันเป็นการชำระกิเลส มันเป็นความยุ่งยาก มันเป็นความที่ว่าไม่สะดวกสบายของกิเลส

แต่ถ้าเราถือด้วยความจริงใจของเรา แล้วตั้งขึ้นมาเพราะเรามีกำลังใจแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นความจริง เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระกัสสปะถือตาม เราก็ถือตาม

สิ่งที่มันเป็นความลำบาก มันออกไปแล้วมันจะเป็นทางที่สะดวกออกไปเบื้องหน้าไง หัวใจจะคล่องตัวขึ้น ความประพฤติปฏิบัติมันจะก้าวเดินออกไป เห็นไหม ถ้าเราต้องการความสะดวกต้องการความสบาย มันจะเจอแต่ขวากหนามขวางหน้า ถ้าเราพยายามทุกข์ยากขึ้นมาเพื่อชำระกิเลสของเรา มันจะเจอแต่ถนนหนทาง เจอแต่ทางโล่งเตียนที่เราจะก้าวเดินออกไปได้ ความที่เราจะก้าวเดินออกไป เราจะก้าวเดินออกไปจากสิ่งที่ว่าความสกปรกโสมมของใจที่มันปกปิดไว้

นี้ถ้าเราตามกิเลสของเรา เราจะเดินตามมัน สิ่งที่เดินตามกิเลสมันจะพาไปไหน สะดวกสบายไป กำลังใจก็ไม่มี ความนิ่งของใจก็ไม่มี ความนิ่งของใจ เห็นไหม ความวิริยะอุตสาหะเข้ามา มันจะหาแต่ความสะดวกสบาย นี่ปัญญาของกิเลสเบื้องหลัง

ปัญญาของกิเลสเบื้องหลังมันหลอกลวง ถึงว่ามันแหลมคมแต่เราเชื่อมัน เราเชื่อมันเพราะว่าเราเป็นคนคิด เราเป็นคนกระทำ เราเชื่อเรา เราเลยเชื่อกิเลสไปด้วย ถ้าเราไม่เชื่อเรา เราเชื่อธรรม เราเชื่อตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานธรรมนี้ไว้ แล้วเราพยายามก้าวเดินตามเข้าไป นี่ปัญญามันจะใคร่ครวญได้

เรื่องอย่างนี้ ถ้าอยู่ที่ปัญญาของผู้ประพฤติปฏิบัติ จะเก็บตรงไหนที่ว่าของครูบาอาจารย์ประทานไว้ ที่ว่าถอดไว้จากใจดวงหนึ่งให้กับใจดวงหนึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานธรรมไว้ในพระไตรปิฎกนี้ ออกมาจากหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราเข้าไปศึกษา ทำไมเราทำให้หลุดมือเราไปล่ะ?

หลุดมือคือเราไม่เคยคิดให้มันเป็นประโยชน์กับเราได้เลย เราไม่เคยคิดให้มันเป็นประโยชน์กับเราที่เราจะชำระเอาเป็นแง่มุมเข้ามาที่เราจะดัดตนดัดใจ ปกป้องใจเห็นไหม ปกป้องใจของเราให้ก้าวเดินออกไปด้วยความสะดวกสบาย มีทางออก ออกก้าวเดินออกไป

กิเลสเบื้องหลังมันแหลมคมกว่ากิเลสเบื้องหน้า แล้วมันก็ต้อนให้เราอยู่ในอำนาจของมัน วิปัสสนาไปนึกว่าเป็นธรรม เป็นธรรม นึกเอาว่าเป็นธรรมแล้วก็ล้มไป นึกขึ้นมาว่าเป็นธรรมแล้วก็ล้มไป มันถึงว่ามันถึงไม่มีผลขึ้นมาจากการประพฤติปฏิบัติไง

ถ้ามันจะมีผลขึ้นมา ปัญญาเราพยายามใคร่ครวญเข้ามาแล้วต่อสู้ไป กำลังมันเกิดนะ

ถ้ากำลังพอ สิ่งที่หลอกลวงขึ้นมาจะสงบตัวลง สงบตัวลงเพราะว่าทนกับพลังของธรรม พลังของปัญญาเราไม่ได้ ถ้าพลังของปัญญาของเราจะเกิดขึ้น เกิดขึ้นด้วยวิธีนี้ เกิดขึ้นด้วยวิปัสสนาของเราวิปัสสนาเข้าไป วิปัสสนาเข้าไป

วิปัสสนาหมายถึงจับต้องแล้ววิปัสสนาเทียบเคียง กับสิ่งที่ใจมันพอใจ กับสิ่งที่ใจมันไม่พอใจ “สิ่งที่ใจไม่พอใจ” มันขัดข้องใจอย่างไร แล้วปัญญาที่เกิดขึ้นมันพิจารณาเข้าไปแล้วมันปล่อยวางอย่างใด ใจปล่อยวางจากกามราคะอย่างใด กามราคะที่มันติดอยู่กับใจนี่มันจะหลุดออกไปด้วยวิธีใด...มันจะหลอกไปขนาดนั้น นี่กิเลสอย่างกลาง

ถ้าชำระกิเลสอย่างกลางออกไป สิ้นสุดกิเลสอย่างกลาง ใจเป็นธรรมขึ้นมา...กับสิ่งที่หลอกลวงที่เป็นบ่วงของมาร สิ่งที่เป็นขันธ์นี้เป็นบ่วงของมาร เป็นความคิดความนึก กับสิ่งที่เป็นอวิชชาเป็นพญามารที่มันอยู่ในหัวใจ สิ่งที่มันเป็นความว่างอันละเอียดอ่อน เห็นไหมความว่าง ทุกคนว่าเป็นความว่างความว่าง ถ้าบอกว่าเป็นความว่าง ใครเป็นคนพูดว่ามีความว่างล่ะ? ความว่างพูดไม่ได้หรอก ความว่างมันเป็นความว่างเฉยๆ สิ่งที่ไปพูดถึงความว่างอันนั้น เห็นไหม นั่นล่ะคือพญามาร มารมันอยู่ตรงนั้น อยู่ตรงที่ว่ามันว่างๆ นั่นล่ะ สิ่งที่ละเอียดอ่อนที่สุดในสิ่งที่ลึกซึ้งที่สุดของกิเลสเบื้องหลัง กิเลสเบื้องหลังจุดของมันอยู่ที่ตรงนั้น ถ้าชำระตรงนั้นได้ ใจนั้นจะเป็นธรรมทั้งหมด

แต่การชำระล้างมันละเอียดอ่อน ละเอียดอ่อนจนมันลึกลับมาก ความลึกลับนี้มันเฉพาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นตรัสรู้ขึ้นมาก่อน ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาก่อน สิ่งนี้จะไม่มีใครเห็น ธรรมชาติสิ่งนั้นมีอยู่ สิ่งธรรมชาติสิ่งนั้นมีอยู่เพราะใจเราก็มีอยู่

ใจที่มีจิตวิญญาณมีอยู่ สิ่งที่พาเกิดพาตายอยู่นี่ สิ่งที่พาเกิดพาตายมันหมุนเวียนหมุนตายอยู่เกิดเพราะอะไร เพราะว่ามันมีอวิชชา เห็นไหม อวิชชาที่ว่าเป็นของจริงตั้งแต่ทีแรก อวิชชาเป็นของจริงถ้าไม่มีธรรม มันจะควบคุมใจแล้วอยู่ในอำนาจของมันทั้งหมด

แต่อวิชชานั้นถ้าเจอธรรมอยู่แล้วอวิชชาเป็นของปลอม อวิชชานี้เป็นเหมือนกับสิ่งที่ว่าไร้สาระเลยถ้าเจอธรรมอันจริงนะ มันไร้สาระเพราะอะไร เพราะมันบังตาไว้ มันไม่มีแก่นสาร มันเป็นความว่างเพราะว่าว่าง เพราะเราว่ามันไม่รู้เรื่องว่าว่าง มันว่างออกไปเฉยๆ มันจะว่างได้อย่างไรในเมื่อสิ่งนั้นมันเป็นอวิชชาอยู่ มันเป็นสิ่งที่ควบคุมสิ่งนี้อยู่

ทีนี้ มันควบคุมขนาดไหน เราไล่ต้อนเข้ามาถึงว่ามันเข้าไปจนตรอกจนมุมมันแล้ว อวิชชาหนีจากธรรม ธรรมตั้งแต่เบื้องหน้า เบื้องหลังไล่ต้อนเข้าไป จนมันเข้าไปจนมุมอยู่ในถ้ำ อยู่ในคูหาของใจไง ไปอยู่ในที่คูหาของใจ สิ่งที่เป็นนามธรรมอยู่แล้ว มันก็เลยเป็นความว่างไปในใจดวงนั้น ใจดวงนี้ว่างหมดเลย ว่างหมดเลย นี่การค้นคว้าในความว่างนั้น

ถึงว่า เป็นปัญญาญาณ “มหาสติ-มหาปัญญา”

สิ่งที่เป็นมหาสติ มันพยายามระลึกรู้อยู่ ระลึกรู้เพราะไม่เชื่อมาร ไม่เชื่อกิเลสเบื้องหลังที่มันจะหลอกลวงว่าสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรมมันต้องมีเหตุและมีผล เหตุและผลที่สมุจเฉทปหานนั้นถึงเป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรมมันจะลอยมาเฉยๆ ได้อย่างไร

เราประพฤติปฏิบัติมาตั้งแต่กิเลสเบื้องหน้า เราเห็นความมันหลอกลวงเรามาขนาดไหน แล้วมันตัดขาดออกเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เห็นไหม ขณะที่มันตัดขาดเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามานั่นน่ะ อันนั้นมันมีเหตุมีผล สิ่งที่มีเหตุมีผล มันถึงจะให้ค่าของใจไล่ต้อนกิเลสเข้ามาตลอด

แล้วสิ่งที่ว่าเป็นจุดสุดท้าย ถ้าไม่มีเหตุมีผล ไม่มีการชำระล้างกัน มันจะเป็นสิ่งที่สิ้นสุดกระบวนการได้อย่างไร มันสิ้นสุดกระบวนการไม่ได้เพราะสิ่งที่เราประพฤติปฏิบัตินี้มันจะยืนยันกันเข้ามา ยืนยันเข้ามาให้เรา อันนี้เป็นพยาน ไม่ให้เราเชื่อกับสิ่งที่หลอกลวงออกมาไง

มันจะหลอกลวงนะ หลอกลวงเพราะไม่มีใครชี้นำได้

“มหาปวารณา” ครูบาอาจารย์ที่เราเชื่อมั่น เราลงใจ เราลงใจครูบาอาจารย์องค์ไหน ถึงเวลาเราปวารณากันเพื่อ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ธรรมของครูบาอาจารย์ที่เวลาสนทนาธรรมกัน ถ้าสนทนาธรรม ธรรมที่สูงกว่าจะต้องชำระแก้ไขธรรมที่ต่ำกว่าได้ ธรรมที่ต่ำกว่าแล้วมีอวิชชาหรือพญามาร กิเลสเบื้องหลังมันปกคลุมอยู่ มันจะเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่สิ้นสุด

การสนทนาธรรม การสื่อกัน การสื่อกันทำไมมันคนละขั้นตอนล่ะ คนละขั้นตอนคือคนละชั้นไง มัน ๒ สเต็ป ๓ สเต็ป ๔ สเต็ป ของใครกี่สเต็ป เห็นไหม มันจะบอกออกมาโดยธรรมชาติการเป็นที่ว่าสมุจเฉทปหานเข้าไปเป็นชั้นๆ เข้ามา ถ้ามันไม่มีที่ถึงที่สุด คนๆ นั้นขาดตอนอยู่ สิ่งนั้นบอกได้เลยว่ามันยังไม่เป็นธรรมโดยสมบูรณ์

สิ่งที่ไม่เป็นธรรมโดยสมบูรณ์ทำให้เอะใจ คนที่ว่าของเราไม่สมบูรณ์มันจะเอะใจเข้ามา ความจะเอะใจมันจะย้อนกลับ ย้อนกระแสของธรรม กระแสของธรรมคือกระแสของใจ ใจมันส่งออก ความว่างนี้ใจเป็นคนรู้ สิ่งที่ว่ารู้ว่าใจเป็นความว่าง เป็นความว่าง ใครเป็นคนรู้? ใจนี้เป็นคนรู้ แล้วใจที่บอกว่างๆ ไอ้ตัวใจที่อยู่ว่างๆ อยู่ที่ไหน? จะย้อนกลับมาตรงนั้น

พอย้อนกลับมาตรงนั้น นั่นล่ะเจอกิเลสเบื้องหลังตัวสำคัญ ถ้าชำระกิเลสเบื้องหลังตัวนี้จบขึ้นมา เห็นไหม จากเป็นกิเลสเบื้องหน้ามันเป็นความฟุ้งซ่านของใจ ชำระใจจนเป็นธรรมทั้งหมด “ใจที่เป็นธรรม” เห็นไหม กิเลสเบื้องหลังกลายเป็นธรรมเบื้องหลัง เบื้องหลังของกิเลสคือธรรม

กิเลสนี้ทำให้เราเกิด กิเลสทำให้เราเกิดขึ้นมา แล้วก็มาใช้เราขึ้นมา เป็นเจ้านายของหัวใจนี้มาตลอด เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตลอดเพื่อจะชำระกิเลสขึ้นไป จากกิเลสเบื้องหน้าแล้วเราทำจากกิเลสของเราให้ใจดวงนี้พลิกเป็นธรรมขึ้นมา ใจนี้เป็นธรรม เห็นไหม พอใจเป็นธรรมขึ้นมา มันก็เป็นความสุขของใจดวงนั้น ๑ ใจดวงนั้นจะมีความสุขมากนะ สุขแบบว่าไม่ใช่สุขแบบโลกๆ เขาเลย สุขแบบสิ่งที่ใดๆ ก็ไปจับต้องใจดวงนั้นไม่ได้ ไม่มีสิ่งให้ค่าสูงค่าต่ำกับใจดวงนั้น ใจดวงนั้นถึงว่า “เป็นกลางจริง” ใจดวงนั้นถึงไม่เอียงเอนไปสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ถ้าเอนเอียงไป เป็นสุข-ทุกขเวทนา... “สุขเวทนา” ถ้าเรามีความสุขจริงว่าเป็นสุข สุขเวทนานั้นเดี๋ยวก็เป็นทุกขเวทนาถ้าสุขหายไป เอียงไปเอียงมาไม่แน่นอน แต่วิปัสสนาจนเป็นธรรม ธรรมเหมือนกับที่ว่าน้ำบนใบบัว ไม่เกาะเกี่ยวกับอารมณ์นั้น สิ่งที่เป็นอารมณ์ความคิดนี้สื่อกับโลกเขาเพื่อเป็นโลกเขาเท่านั้น แต่วัตถุสิ่งของในโลกนี้เป็นเรื่องของโลกทั้งหมดเลย

“ธาตุ ๔” ธาตุของโลกเขา สมบัตินี้ก็คือธาตุ สมบัติเงินทองนี้เป็นธาตุทั้งหมด เป็นแร่ธาตุที่เขาเอาขึ้นมาเพื่อเป็นประโยชน์ในสมมุติโลกเขา โลกเขาขึ้นมาสมมุติว่าสิ่งใดมีคุณค่าก็ติดสิ่งนั้นกัน เห็นไหม สมมุติที่ว่าเป็นธาตุมันไกลเกินไป ไกลเกินไปที่กับใจดวงนั้นจะไปติดสิ่งนั้น เพราะจะไปติดสิ่งนั้นได้มันต้องมีอารมณ์ความรู้สึกให้ค่าแล้วอยากมีค่า เห็นไหม แล้วมันตัดเข้ามาตั้งแต่สมุจเฉทปหานเป็นชั้นๆ เข้าไป อารมณ์นี้เกิดขึ้นได้จากขันธ์ ขันธ์นี้โดยวิปัสสนาขาดเข้าไป

ขันธ์นี้จากเดิมเป็นกิเลสพาใช้ เพราะกิเลสมีอำนาจวาสนาก็ควบคุมขันธ์นี้แล้วคิดออกมาเป็นอารมณ์ อารมณ์คิดออกมามันก็มีกิเลสตามออกมาด้วย ขันธ์นี้แต่เดิมนี้กิเลสพาใช้ กิเลสเป็นเจ้าอำนาจ แล้วเราชำระล้างเข้าไปจนกิเลสขาดออกไป ขันธ์นี้ก็ขาดขันธ์ออกไป เห็นไหม ขาดออกไป ขาดออกไป จนขาดออกไปที่สุด ขันธ์นี้ไม่มีกับใจดวงนั้นเลย จนใจนั้นเป็นแต่ความว่าง พิจารณาความว่างจนหมดแล้วกลับมามีขันธ์อย่างเก่า แต่ขันธ์อันนี้เป็นขันธ์ที่สืบต่อมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้อันนี้เป็นประโยชน์สอนโลกมา ๔๕ ปีไง

ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีขันธ์ ๕ การระลึกรู้อยู่ จะรู้จักเณรราหุลได้อย่างไร จะไปสอนพระเจ้าสุทโธทนะได้อย่างไร พระเจ้าสุทโธทนะเป็นพ่อนะ แล้วสามเณรราหุลนี้เป็นลูก นี่มันเป็นสัญญาความจำ แต่สัญญาขันธ์ ๕ อันนี้เป็นขันธ์ ๕ ที่สะอาด ขันธ์ ๕ นี้ไม่มีกิเลสควบคุมไง ถึงว่าเป็นธรรม

สิ่งที่เป็นธรรมเพราะไม่ให้กิเลสมันให้ค่าในความสุข-ความทุกข์ แต่จะใช้ประโยชน์ต่อเมื่อเป็นประโยชน์ แล้วจะให้ใช้เพื่อติเตียนเพื่อเป็นการตักเตือน สิ่งที่ติเตียนเพื่อตักเตือนเพื่อให้เป็นอาวุธให้ลูกศิษย์ลูกหาให้สาวกได้ฟังสิ่งนั้น มันไม่ใช่เป็นกิเลส มันเป็นเครื่องมือสอนออกมา ใจดวงนั้นถึงประเสริฐ ใจที่ประเสริฐ ธรรมที่ประเสริฐ กิเลสถึงเข้าไปถึงธรรมดวงนั้นไม่ได้ ถึงเป็นสุขจริงๆ

ความสุขอันนี้เกิดขึ้นจากการประพฤติปฏิบัติ

ความสุขอันนี้เกิดขึ้นจากเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา

ความสุขอันนี้เกิดขึ้นมาเพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราก้าวเดิน

ก้าวเดินทางหัวใจนะไม่ใช่ก้าวเดินด้วยเท้านะ...“ก้าวเดินด้วยใจ”

ใจก้าวเดินเข้าไปด้วยความวิริยะอุตสาหะ ด้วยความทุกข์ความยากที่มันเหนื่อยอ่อน ด้วยความทุกข์ความยากที่ว่าต้องบังคับตนเข้ามาตลอด บังคับตนเราเข้ามาตลอด บังคับตนก็เท่ากับบังคับใจ บังคับใจเท่ากับบังคับกิเลส เพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจ เราไม่เคยบังคับตน ไม่เคยบังคับใจ มันก็ต้องมีการต่อต้านเป็นธรรมดา สิ่งที่ต่อต้านนั้นเป็นกิเลสเบื้องหน้าต่อต้าน เราได้ชำระล้างมันเป็นชั้นๆ เข้าไปจนจิตนั้นถึงกับทรงตัวได้ ทรงตัวได้ก็จิตนั้นชำระกิเลสเบื้องหลังเข้าไป กิเลสเบื้องหลังสำคัญกว่ากิเลสเบื้องหน้า

แต่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่นี้กิเลสเบื้องหน้าสำคัญมาก เพราะเอาไว้ไม่อยู่ เอาไว้ยากเพราะกิเลสเบื้องหน้ามันมีกำลังมาทั้งหมด แต่ถ้าพูดถึงผู้ปฏิบัติเข้าไป กิเลสเบื้องหลังสำคัญกว่า สำคัญมากๆ เพราะมันกิเลส ๒ ชั้น ๓ ชั้น มันเป็นการบังเงาออกมาเป็นชั้นตอนเข้ามา

เราเห็นเข้าไป พอเห็นเข้าไปเป็นชั้นๆ เข้าไป มันถึงได้สลดสังเวชไง แล้วครูบาอาจารย์ถึงได้เห็นกิริยาของเราว่าอันนี้เป็นความคิด อันนี้เป็นกิเลสชั้นไหนชั้นไหนไง ถึงเห็นกิเลสของเราทั้งหมดไง เราถึงต้องทำมหาปวารณา ขอให้หมู่สงฆ์ได้เป็นที่ตักเตือน ตักเตือนในความผิดพลาดของเรา เราผิดพลาดโดยที่เราไม่รู้ตัว เราคิดว่าเราทำดีที่สุด แต่ในเมื่อเรามีสิ่งที่ปกปิดใจอยู่ มันก็มีความพลั้งเผลอไปโดยธรรมดา

สิ่งนี้ถ้าครูบาอาจารย์เห็น ให้ครูบาอาจารย์ช่วยชี้นำ ช่วยชี้แนะ ถ้าใจดวงนั้นลงครูบาอาจารย์ไหนจะฟังแล้วเป็นประโยชน์ แต่ถ้าดวงใจดวงนั้นไม่ยอมฟังครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์บางองค์เป็นครูบาอาจารย์แต่ชื่อไง ความที่ว่าชื่อครูบาอาจารย์แต่ไม่มีตาใน ไม่มีธรรมในหัวใจก็ไม่รู้ พอไม่รู้นะ เห็นด้วยความขัดหูขัดตาก็ว่ากันไป มันก็มีการเกิดกระทบกระทั่งกัน

นี่ถ้ากิเลสข้างนอก กิเลสเบื้องหน้าและกิเลสเบื้องหลังอยู่ในใจของดวงใด ใจดวงนั้นก็คิดแบบครูบาอาจารย์ที่ว่าไม่มีตา พอไม่มีตาก็ว่าไป เตือนไป เตือนไปโดยที่ตาบอดเหมือนกัน แต่ในฐานะว่าเขาทรงว่าเป็นครูบาอาจารย์ก็ว่าเป็นครูบาอาจารย์ เห็นไหม แต่ถ้ามีตาในมีขึ้นมา จะติจะเตียนขึ้นมามันต้องคิดหน้าคิดหลัง คิดหน้าคิดหลังเพราะอะไร?

เพราะว่าถ้าติเตียนบางทีมันเกิดความผูกมัดกับใจดวงนั้น ใจดวงนั้นนะผูกมัดด้วยทิฏฐิมานะ ถ้าทิฏฐิมานะ ใจดวงนั้นจะประพฤติปฏิบัติก็ยากอยู่แล้ว เพราะเกิดทิฏฐิมานะขึ้นมาเป็นแรงผูกสอง เห็นไหม ครูบาอาจารย์จะเตือนถึงต้องมองหน้ามองหลัง

ถ้าครูบาอาจารย์มาเตือน มองหน้ามองหลังแล้วเราคิดถึงหลักเกณฑ์ของเราได้ นี่มันเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมเตือน เตือนปั๊บเราจะคิดขึ้นมา คิดขึ้นมาพยายามไตร่ตรองใคร่ครวญเข้าไป ถึงว่าสมกับเป็นวันมหาปวารณา วันมหาปวารณาในหมู่ของสงฆ์ ในหมู่ของนักประพฤติปฏิบัติ ในหมู่ของผู้ที่เห็นกิเลสเป็นภัย

กิเลสเป็นภัยในหัวใจของเรา ในหัวใจของดวงไหนก็มันจะให้โทษกับใจดวงนั้น แต่กิเลสในดวงใจของเราให้โทษกับเรา เราต้องหมั่นชำระกิเลสในหัวใจของเราให้ได้ก่อน ให้หัวใจของเราเป็นธรรมขึ้นมา เป็นธรรมขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนนะ พอใจของเราเป็นชั้นเป็นตอนเป็นธรรมขึ้นมา มันก็มีความสุขขึ้นมา ความสุขขึ้นมา ความสุขขึ้นมาก็ว่าไม่เสียชาติเกิดไง

เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้ออกบวชเป็นพระ ได้ประพฤติปฏิบัติด้วย ถึงไม่ได้ออกบวชเราก็เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วได้บำเพ็ญเพียรในทางธรรมด้วย การบำเพ็ญเพียรในทางธรรมเพราะเราเชื่อมั่นแล้ว เราได้ประพฤติปฏิบัติแล้ว การประพฤติปฏิบัติคือเข้าได้ต่อกรกับกิเลส มันได้เข้าต่อกรกับกิเลสตั้งแต่การนั่ง การนั่ง การที่กิเลสไม่ยอมให้เรานั่ง ไม่ยอมให้เราเป็นอิสระเสรีเลยแม้แต่น้อย แล้วเราต่อสู้มาตลอด นี่การต่อสู้กับกิเลส

ต่อสู้กับกิเลสนะ ต่อสู้กับกิเลสคือการที่ว่าต่อสู้กับใจเรา เห็นไหม ใจเรานี่แหละ จากเดิมที่กิเลสมันควบคุมอยู่ มันเป็นธรรมขึ้นมาได้ เป็นธรรมขึ้นมาได้จริงๆ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีกายกับมีใจเหมือนเรา เราก็มีกายกับมีใจนะ แต่ตอนนี้กายกับใจของเรามันมีกิเลสมันปกคลุมอยู่เท่านั้นเอง ถ้าอย่างนั้นกิเลสมันออกไปจากหัวใจ

หัวใจก็เหมือนกัน ถึงว่าหัวใจดวงนั้นจะไม่มีตายอีก ตายตั้งแต่วันกิเลสตาย มีแต่กิเลสตายแล้วใจดวงนั้นพอละขันธ์แล้วใจดวงนั้นก็เป็นอิสระเสรีไป

แต่ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติหรือเราปฏิบัติไม่ถึง ตายไป ตายไปพร้อมกับกิเลส ถ้าตายไปพร้อมกับกิเลส กิเลสยังพาเกิดอีก เกิดอีก เกิดอีกพร้อมกับความทุกข์ ชาติปิ ทุกฺขา ชาติเป็นความเกิด เป็นความทุกข์อย่างยิ่ง ถ้าเกิดแล้วจะไม่ให้มีการทุกข์อย่างยิ่ง ไม่ให้ตายอีก...ต้องไม่เกิด สิ่งที่ไม่เกิดต้องคือการทำลายเชื้อ ถ้าไม่มีเชื้อ ไม่มีที่สืบต่อ ไม่มีสิ่งใดๆ จะเข้าไปเสริมเติมใจดวงนั้นได้เลย ใจดวงนั้นอิ่มเต็ม...เอาอะไรไปเกิด?

ใจดวงนั้นไม่คลอนแคลน ใจดวงนั้นไม่หมุน ใจดวงนั้นไม่เป็นไปกับแรงเหวี่ยงของวัฏฏะทั้งหมดเลย เป็นวิวัฏฏะ หลุดออกไปจากโลก หลุดออกไปจากวัฏวน หลุดออกไปเป็นอิสรภาพของใจดวงนั้น

ถึงว่าประเสริฐมาก ประเสริฐเพราะว่าเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงการชำระกิเลส แต่ถ้าเราจะถือพระพุทธศาสนาด้วยการแค่สร้างบุญกุศลเพื่อบำเพ็ญบารมีแค่นั้นหรือ การสร้างบุญกุศลนั้นเป็นการบำเพ็ญบารมีของเราให้สูงขึ้นๆ แต่การประพฤติปฏิบัติของเรานี้ มันชำระกิเลสของเราให้ตามทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“การตามทัน” เพราะทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ความสะอาดความสว่างเสมอกัน ความรู้เห็นเหมือนกัน นี่เสมอกันด้วยความรู้ความเห็น

ความรู้คือว่าพุทโธ ธัมโม สังโฆรวมอยู่ที่ใจ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

ใจที่ว่าเป็นใจของเราที่เป็นกิเลสนี่เป็นเห็นตถาคต

เห็นเหมือนกัน พระพุทธเจ้าเห็นอย่างนี้ เราก็เห็นอย่างนี้ ต่างกันด้วยพุทธวิสัย ต่างกันด้วยการสะสมบุญญาธิการ (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)